| ละครเสภา      
เสภามีกำเนิดมาจากการเล่านิทาน เมื่อการเล่านิทานเป็นที่นิยมแพร่หลาย ทำให้เกิดมีการปรับปรุงแข่งขันกันขึ้น 
 ผู้เล่าบางท่านจึงคิดแต่งเป็นกลอน ใส่ทำนอง มีเครื่องประกอบจังหวะ คือ "กรับ" 
จนกลายเป็นขับเสภาขึ้นเสภามีมาแต่โบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา 
สันนิษฐานว่ามีขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ. ๒๐๑๑  เสภาในสมัยโบราณไม่มีดนตรีประกอบ 
จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีปี่พาทย์บรรเลงประกอบ
 สมัยรัชกาลที่ ๓  นิยมพลงอัตรา ๓ ชั้น เพลงที่ร้องและบรรเลงในการขับเสภา 
ซึ่งเคยขับเพลง ๒ ชั้น ก็เปลี่ยนเป็น ๓ ชั้นบ้าง และใช้กันมาจนปัจจุบันนี้
 สมัยรัชกาลที่ 
๕  ได้มีผู้คิดเอาตัวละครเข้าแสดงการรำและทำบทบาท ตามคำขับเสภาและร้องเพลง 
เรียกว่า "เสภารำ"  สมัยนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กวีช่วยแต่งเสภาเรื่อง 
นิทราชาคริต เพื่อใช้ขับเสภาในเวลาทรงเครื่องใหญ่  มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงคือ 
พวกขับเสภาสำนวนแบบนอก คือใช้ภาษาพื้นบ้านมาสนใจสำนวนหลวง
 สมัยรัชกาลที่ 
๖  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา 
ช่วยกันชำระเสภาขุนช้างขุนแผน แก้ไขกลอนให้เชื่อมต่อกัน และพิมพ์เป็นฉบับหอสมุดแห่งชาติเป็นครั้งแรก 
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นแบบแผนของการแสดงขับเสภา ซึ่งต่อมากลายเป็นละครเสภา
      ผู้แสดง  นิยมใช้ผู้แสดงชายและหญิง 
ตามบทเสภาของเรื่อง การแต่งกาย  แต่งกายตามท้องเรื่องคล้ายกับละครพันทาง
 เรื่องที่แสดง  มักจะนำมาจากนิทานพื้นบ้าน 
เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน ไกรทอง หรือเรื่องจากบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ เช่น 
เรื่องพญาราชวังสัน สามัคคีเสวก
 การแสดง  ละครเสภาจำแนกตามลักษณะการแสดงไว้ 
ดังนี้
 ๑.  เสภาทรงเครื่อง  สมัยรัชกาลที่ 
๔ วงปี่พาทย์ได้ขยายตัวเป็นเครื่องใหญ่ เมื่อปี่พาทย์โหมโรงจะเริ่มด้วย "เพลงรัวประลองเสภา" 
ต่อด้วย "เพลงโหมโรง" เช่น เพลงไอยเรศ เพลงสะบัดสะบิ้ง หรือบรรเลงเป็นชุดสั้นๆ 
เพลงครอบจักรวาล แล้วออกด้วยเพลงม้าย่องก็ได้  มีข้อความสำคัญว่า โหมโรงจะต้องลงด้วยเพลงวา 
จึงจะเป็นโหมโรงเสภา เมื่อปี่พาทย์โหมโรงแล้ว คนขับก็ขับเสภาไหว้ครูดำเนินเรื่อง 
 จากนั้นร้องส่งเพลงพม่าห้าท่อน แล้วขับเสภาคั่น ร้องส่งเพลงจระเข้หางยาวแล้วขับเสภาคั่น 
ร้องส่งเพลงสี่บทแลัวขับเสภาคั่น ร้องส่งเพลงบุหลันแล้วขับเสภาคั่น  ต่อไปไม่มีกำหนดเพลง 
คงมีสลับกันเช่นนี้ตลอดไป จนจวนหมดเวลา จึงส่งเพลงส่งท้ายอีกเพลงหนึ่ง เดิมใช้เพลงกราวรำ 
ต่อมาเปลี่ยนเป็นอกทะเล เต่ากินผักบุ้ง หรือพระอาทิตย์ชิงดวง  เดิมบรรเลงเพลง 
๒ ชั้น ต่อมาประดิษฐ์เป็นเพลง ๓ ชั้น ที่เรียกว่า เสภาทรงเครื่อง คือ การขับเสภาแล้วมีร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ
 ๒.  เสภารำ  เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 
๕  กระบวนการเล่น มีคนขับเสภาและเครื่องปี่พาทย์ บางครั้งก็ใช้มโหรีแทน  มีตัวละครออกแสดงบทตามคำขับเสภา 
และมีเจรจาตามเนื้อร้อง  เสภารำมีแบบสุภาพและแบบตลก  ผู้ริเริ่มคือ 
ขุนรามเดชะ (ห่วง) บางท่านว่า ขุนราม (โพ) กำนันตำบลบ้านสาย จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเล่าลือกันว่าขับเสภาดี 
ผู้แต่งเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเข้าห้องนางแก้วกิริยา  สมัยรัชกาลที่ 
๖ ขุนสำเนียงวิเวกวอน (น่วม บุณยเกียรติ) ร่วมกับนายเกริ่นและนายพัน คิดเสภาตลกขึ้นอีกชุดหนึ่งเลียนแบบขุนช้างขุนแผน 
โดยแสดงเรื่องพระรถเสนตอนฤาษีแปลงสาร
      ดนตรี  มักนิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าบรรเลง 
และมีกรับขยับประกอบการขับเสภาเพลงร้อง  มีลักษณะคล้ายละครพันทาง 
แต่จะมีการขับเสภาซึ่งเป็นบทกลอนสุภาพ แทรกอยู่ในเรื่องตลอดเวลา
 สถานที่แสดง  แสดงในโรงบนเวที 
มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่องอย่างละครดึกดำบรรพ์
 
 |